เออร์ลิคอน ประเทศไทย เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่ “อีวี”, นโยบาย 30@30

เออร์ลิคอน ประเทศไทย เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่ “อีวี”

อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 2566
  • Share :
  • 23,078 Reads   

เออร์ลิคอน ประเทศไทย เผยมุมมองเกี่ยวกับนโยบาย 30@30 และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ที่สร้างความกังวลในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย โครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และความต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาล 

นาย Michel Maeusli กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออร์ลิคอน (ประเทศไทย) จำกัด โดย Oerlikon Balzers เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ชั้นนำของโลกด้านเทคโนโลยีพื้นผิวที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความทนทานของส่วนประกอบที่มีความเที่ยงตรงสูง ซึ่งนำไปใช้กับเครื่องมือและชิ้นส่วนต่าง ๆ ในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงยานยนต์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึง “การเปลี่ยนผ่านของรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย: โอกาส ความท้าทาย และความต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ” ไว้ดังนี้

Thailand EV Roadmap: สิ่งสำคัญคือ “แผนงานที่เป็นรูปธรรม” 

แผนงานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของรัฐบาลไทยภายในปี 2030 เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสู่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแผนงานที่มุ่งมั่นจะเป็นแนวทางที่จำเป็นสำหรับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตและตัดสินใจอย่างรอบรู้ ช่วยให้ผู้ผลิตชิ้นส่วน OEM ตระหนักถึงประโยชน์ของการลงทุนในรถอีวี ขณะที่จูงใจผู้บริโภคให้ใช้นโยบายใหม่ 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องคงความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ เนื่องจากลำดับเวลาของภาครัฐและภาคเอกชนอาจจะขับเคลื่อนได้ในลำดับเวลาที่ไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ การผลักดันไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) อย่างกะทันหันโดยไม่มีการปรับห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้าให้เพียงพอ อาจนำไปสู่การนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้น การพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่สะอาด รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จที่ไม่เพียงพอ

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและอนาคตของการผลิตรถยนต์สันดาป ICE

ปัจจุบัน EV ในประเทศไทยขับเคลื่อนโดยการผลิตในต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งในตอนแรกอาจเน้นที่การนำเข้ารถยนต์มากกว่าการปรับห่วงโซ่อุปทานในประเทศทั้งหมด แต่ผลกระทบที่แท้จริงต่อห่วงโซ่อุปทานในประเทศยังคงไม่แน่นอน เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดกฎระเบียบที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เล่นที่มีอยู่ นอกจากนี้ พื้นที่ชนบทอาจยังคงพึ่งพารถยนต์ ICE เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จที่จำกัด อีกทั้งแหล่งเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ไฮโดรเจนยังเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้สำหรับผู้ใช้รถที่ชอบเทคโนโลยีการเผาไหม้ 

นาย Michel คาดการณ์ว่า ผู้ใช้รถจะเปลี่ยนแปลงความต้องการอย่างมากในทศวรรษถัดไป ทำให้ผู้ผลิต ICE ตกอยู่ในตลาดที่เล็กลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด องค์กรต้องริเริ่มกลยุทธ์การจัดการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งควรมุ่งเน้นไปที่หลักการความยั่งยืนและกำหนดเป้าหมายขององค์กร และปรับธุรกิจหลักให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภายนอก มิฉะนั้นแล้ว บริษัทเหล่านี้จะตามหลังคู่แข่ง 

การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

นาย Michel มองเห็นโอกาสจากห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ที่มั่นคงของประเทศไทยและทำเลที่ตั้งใจกลางของภูมิภาค ทำให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มความร่วมมือและการถ่ายทอดความรู้จากผู้ผลิตต่างชาติที่มีประสบการณ์สามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่อีวีได้
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายต่าง ๆ เช่น ความพร้อมของแรงงานฝีมือและข้อจำกัดในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ การพึ่งพาวัตถุดิบจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับแบตเตอรี่อาจก่อให้เกิดความท้าทายในห่วงโซ่อุปทาน

การสนับสนุนจากภาครัฐ: ความคล่องตัว ความโปร่งใส และนโยบายที่ครอบคลุม

รัฐบาลต้องส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่คล่องตัวและโปร่งใส โดยให้สิ่งจูงใจทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนขนาดเล็กถึงขนาดกลาง นโยบายใหม่ควรได้รับการออกแบบเพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของ EV และป้องกันการผูกขาดโดยผู้เล่นที่ไม่เกี่ยวข้องและนักลงทุนต่างชาติที่ไม่มีประสบการณ์ด้านยานยนต์ ในขณะที่นโยบาย 30@30 จำเป็นต้องมีการดำเนินการเพิ่มเติม และการดำเนินการในระดับต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพ

โดยสรุป ประเทศไทยยืนอยู่ในจุดที่อาจเพลี่ยงพล้ำได้ในการปฏิวัติสู่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพจากรัฐบาล ความสามารถในการปรับตัวของอุตสาหกรรม และการวางแผนเชิงกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญในการคว้าโอกาส ในขณะที่การจัดการกับความท้าทายยังคงรออยู่ข้างหน้า

 

#Oerlikon #ElectricVehicles #อุตสาหกรรมยานยนต์ #Mreport #ข่าวอุตสาหกรรม

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH