“ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท” ทางเลือก-ทางรอดประเทศไทย?

อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 2566

ในช่วงที่ผ่านมา หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงคือการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ในภาคแรงงานอาจจะเป็น “ทางรอด” ที่ถูกคาดหวังไว้เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต แต่เรื่องไม่ง่ายเช่นนั้น ในมุมของผู้ประกอบการอาจจะต้องมองหา “ทางเลือก” ในการปรับเปลี่ยนแผนดำเนินกิจการ

ผู้ประกอบการในแวดวงอุตสาหกรรม นายประวิทย์ วงศ์อนันต์กิจ ผู้จัดการทั่วไป หจก. สยามอนันต์กิจ ตัวแทนจำหน่าย Flow Waterjet ในประเทศไทย (Siam Anakit) ได้ให้สัมภาษณ์ถึง ทิศทางการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไว้ใจความดังนี้

ผลกระทบต่อ SME เมื่อปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

นายประวิทย์เผยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ แต่ย่อมกระทบกับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ MSMEs ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กรายย่อยที่ยังอาศัยแรงงานทักษะต่ำ แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ประกอบการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา อาจจะเริ่มปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้เครื่องจักรเพื่อเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนแผนในการใช้แรงงาน

โอกาสของประเทศไทยในการปรับตัวเรื่องแรงงานในภาคการผลิต

นายประวิทย์มองเห็นโอกาสของภาคการผลิตไทย จากสภาพแวดล้อมในหลายด้านทั้งค่าครองชีพและภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศสูงขึ้น ซึ่งจะเห็นว่ามีการย้านฐานการผลิตมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น จึงอาจจะเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยจะปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงการเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานให้มีความชำนาญมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ไทยเราสามารถผลิตสินค้าใหม่ ๆ และสินค้าที่มีเทคโนโลยีมากขึ้นได้ด้วย

นายประวิทย์ได้ฝากถึงภาครัฐในเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อาจใช้วิธีปรับตามค่าครองชีพโดยมีอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งวิธีการนี้เป็นแนวปฏิบัติเมื่อครั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์

นอกจากนี้ การส่งเสริมด้านเทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ของรัฐบาลยังเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ พร้อมกับผลักดันให้มีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เหล่านี้เข้ามาลงทุนในไทยน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเติบโตมากขึ้น