"มิตซูบิชิ" ตอบรับเทรนด์อีวี ดันไทยฮับแบตเตอรี่อาเซียน

อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 2561
  • Share :

เพิ่งฉลองความสำเร็จการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิในประเทศไทย ครบ 5 ล้านคันไปหมาด ๆ และยังถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จในฐานะประเทศฐานการผลิตรถยนต์-ชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของโลกของประเทศไทยได้อีกครั้ง 

ครั้งนี้นายใหญ่ค่ายมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นอย่าง "โอซามุ มาสุโกะ" ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาร่วมฉลองความสำเร็จครั้งนี้ด้วยตัวเอง และยังเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้อัพเดตนโยบายรวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) 

จากนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการขับเคลื่อนธุรกิจ ติดตามกัน 

Q : ความคืบหน้าของโครงการบีโอไอ

สำหรับรถอีวีนั้นกำลังเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในระดับโลก ที่ผ่านมาอีวีจะมีการพัฒนาเร็วในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้น มิตซูบิชิเชื่อว่าจากนี้ไปจะมีการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้น และการที่จะทำให้รถประเภทนี้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายนั้น จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาชิ้นส่วนเพื่อรองรับการผลิตนั้น ๆ แต่ต้องยอมรับว่า รถยนต์ปัจจุบันที่ใช้เครื่องยนต์จะต้องถูกเปลี่ยนมาเป็นรถอีวีนั้น จะส่งผลกระทบให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนบางรายจะต้องเสียหาย และมิตซูบิชิรวมทั้งค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็ยังคงมองและให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหานี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ค่ายรถยนต์จะต้องดูแล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสร้างสิ่งแวดล้อมคู่ขนานกันไป

Q : มิตซูบิชิถือว่ามีความพร้อมสำหรับรถอีวี 

มิตซูบิชิเองมีรถอีวีมาตั้งแต่ปี 2009 และรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งถือว่ามิตซูบิชิมีเทคโนโลยีและความพร้อมสำหรับรถยนต์ทั้ง 2 ประเภท จากนี้ไปการดำเนินนโยบายของรถทั้ง 2 ประเภทในภูมิภาค
ในส่วนไทยเองก็จะต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลา และเงื่อนไขรายละเอียดที่จะคุยกับบีโอไอ เราต้องพยายามคิดร่นระยะเวลาการผลิตและจำนวนการผลิต รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะลงทุนในประเทศไทยต่อไป และคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีโอกาสมานั่งอธิบายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมิตซูบิชิได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนไป 

Q : จะเลือกแพ็กเกจไหนระหว่างปลั๊ก-อิน ไฮบริด และอีวี 

มิตซูบิชิมองรถยนต์ทั้ง 2 ประเภท เพราะมีบทบาททั้ง 2 ตัว ไปพร้อม ๆ กัน อย่างรถปลั๊ก-อิน ไฮบริดนั้นสามารถใช้เป็นเครื่องผลิตไฟฟ้า เนื่องจากขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ และยังสามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าได้ รถคันนี้ของเรามีฟังก์ชั่นในการผลิตไฟฟ้าได้ เช่น ถ้าอยู่ด้วยกันในครอบครัวขนาด 4 คน แล้วเกิดวิกฤต จะสามารถอาศัยไฟฟ้าจากรถคันนี้ได้เป็นระยะเวลา 10 วัน ถือได้ว่ารถคันนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบมารอ 

Q : มองเรื่องบริหารจัดการในภูมิภาคอาเซียนไว้อย่างไร  

อนาคตภูมิภาคนี้จะมีขนาดประชากรเป็นจำนวนมาก บางประเทศมีทรัพยากรมาก ส่วนไทยมีความได้เปรียบในแง่ของทำเลที่ตั้ง เมื่ออาเซียนขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน และมิตซูบิชิเองก็อยู่ในประเทศไทยมากกว่า 60 ปี เราค่อนข้างพอใจกับธุรกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน และความสำคัญของประเทศไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ยังคงความสำคัญในระดับโลกด้วย ปัจจุบันโรงงานมิตซูบิชิประเทศไทยผลิตรถยนต์ 4 รุ่น และอนาคตใน 2-3 ปี จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน จะผลิตในไทยเพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกเพิ่มอีก 1 รุ่น

Q : ความร่วมมือกับนิสสัน 

กับนิสสัน ที่ผ่านมาเรามีความร่วมมือกันในด้านโลจิสติกส์ การจัดจำหน่าย และการจัดซื้อไปแล้ว ส่วนในอนาคตนั้นคาดว่าเราจะมีความร่วมมือในการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันด้วย

Q : เอเชียมีความพร้อมแค่ไหนสำหรับรถอีวี

มิตซูบิชิมีรถยนต์อีวีอย่างไอมีฟมาตั้งแต่ปี 2009 เป็นรายแรกของโลก และขณะนั้นค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็ไม่มีใครคาดคิดว่ารถอีวีจะได้รับความสนใจในอุตสาหกรรมยานยนต์ 

วันนี้กลับเป็นเทรนด์ที่ทั้งยุโรปและจีนให้ความสนใจและตื่นตัวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทุกคนต่างมองไปที่รถอีวีและปลั๊ก-อิน ไฮบริด  ที่ส่วนใหญ่จะมองไปที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 

แต่มิตซูบิชิเรามองมายังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาด้วย และเราก็กำลังศึกษาและสำรวจในประเทศ ทั้งไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และมิตซูบิชิเชื่อว่าต้นทุนของแบตเตอรี่รถอีวีเกิดขึ้นได้จริง และน่าจะเกิดได้เร็วขึ้นด้วยสำหรับประเทศไทย

นอกจากนี้มิตซูบิชิยังมีเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติและเทคโนโลยีคอนเน็กเต็ด ทำให้เราเชื่อว่ารถยนต์ในอนาคตจะมีความยากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ในปัจจุบัน แต่จะช้าหรือเร็วนั้น ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ และเชื่อว่าประเทศไทยจะได้เห็นรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทเร็วกว่าที่คาดไว้อย่างแน่นอน

Q : มีโครงการจะทำรถทั้ง 2 ประเภทร่วมกับนิสสัน 

มิตซูบิชิจะร่วมงานกับนิสสันในเชิงของการพัฒนาเทคโนโลยีเท่านั้น ขณะนี้มิตซูบิชิกำลังจะยื่นบีโอไอ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด และเราเชื่อว่ารัฐบาลไทยพร้อมรับฟังความคิดเห็นและยืดหยุ่นมากพอในการเปิดโอกาสตรงนี้ และแม้ว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้จะมีโครงการส่งเสริมการลงทุนคล้าย ๆ กับประเทศไทย แต่เราไม่อยากให้คิดว่าประเทศไหนจะดีกว่ากัน 

เราจะเดินหน้าคิดค้นเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรม และยกระดับเทคโนโลยีไปพร้อมการพัฒนาบุคลากร เพื่อความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้าน  ภายใต้การขับเคลื่อนกลยุทธ์ระดับโลกที่ว่า "Drive your Ambition" พันธสัญญาจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่มีต่อผู้ขับขี่ทุกคน

ในไทย เราเริ่มต้นดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ. 2504 ผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคันในปี พ.ศ. 2546 ล่าสุดเราการผลิต 5 ล้านคันในปีนี้ โดยผลิตเพื่อส่งออก 3.7 ล้านคันไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มิตซูบิชิมีธุรกิจในอาเซียน ทั้งไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เราหวังว่าจะช่วยประเทศนั้น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกประเทศเพื่อให้ทุกคนมีความสุข 

ดังนั้นประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาค คนไทยมั่นใจได้ แน่นอนว่ามิตซูบิชิจะยื่นขอส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริดและอีวีภายในปีนี้อย่างแน่นอน