US Section 232 Tariffs ฉบับใหม่ เพิ่มภาษีเครื่องจักรโลหะ 50% กระทบห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก

US Section 232 Tariffs ฉบับใหม่ เพิ่มภาษีเครื่องจักรโลหะ 50% กระทบห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก

อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 2568
  • Share :

Section 232 ฉบับใหม่ เพิ่มภาษี “เครื่องจักรกลโลหะ” สูงสุด 50% กระทบตั้งแต่ยุโรปถึงเอเชีย

สหรัฐฯ ประกาศขยายขอบเขตมาตรการภาษีภายใต้ Section 232 ให้ครอบคลุมถึง “Machining Centres for Working Metal (รหัสศุลกากร 8457.10)” เป็นครั้งแรก

โดยกำหนดให้เสียภาษี 50% ของมูลค่าเหล็กและอะลูมิเนียมที่อยู่ในเครื่องจักร และ 15% สำหรับส่วนประกอบอื่นของเครื่อง รวมถึง “อะไหล่” ที่ใช้ซ่อมบำรุงด้วย

การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลโลหะของยุโรป เพราะสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญนอกยุโรปของสมาชิก CECIMO (สมาคมผู้ผลิตเครื่องจักรกลยุโรป) ซึ่งคาดว่าจะกระทบการส่งออกมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านยูโร


ผลกระทบที่เริ่มขยายสู่เอเชียและไทย

แม้มาตรการนี้จะพุ่งเป้าไปยังยุโรปโดยตรง แต่ผลกระทบต่อ ห่วงโซ่อุปทานโลก กำลังขยายวงอย่างรวดเร็ว — รวมถึงไทยด้วยใน 3 มิติหลัก:

1. เครื่องจักรยุโรปแพงขึ้น – การลงทุนใหม่ในไทยอาจชะลอ

โรงงานไทยที่ใช้เครื่องจักรยุโรป (โดยเฉพาะ machining centres, EDM, และเครื่องกัด 5 แกน) จะเผชิญกับ ต้นทุนเครื่องจักรนำเข้าสูงขึ้น เนื่องจากราคาจากต้นทางยุโรปปรับตัว และการส่งต่อภาระภาษีในตลาดโลก

ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ อาจชะลอการลงทุนในเครื่องจักรรุ่นใหม่ เพราะรอความชัดเจนด้านราคาและการขนส่ง

2️.  ซัพพลายเชนโลกปรับตัว – ไทยอาจถูก “ดึง” หรือ “ผลัก” จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า

เมื่อสหรัฐฯ ตั้งภาษีสูงกับยุโรป บางบริษัทอาจ ย้ายฐานการผลิตมาที่เอเชีย เพื่อเลี่ยงต้นทุน (nearshoring หรือ friend-shoring) ซึ่งถือเป็น “โอกาสของไทย” หากดึงดูดการลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีขั้นสูงได้

ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทสหรัฐเลือก ผลิตในประเทศ (reshoring) หรือกระจายไปยังประเทศที่มี FTA เช่น เม็กซิโก/เวียดนาม อาจทำให้ไทย เสียส่วนแบ่ง ของการผลิตในห่วงโซ่นี้

3. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ – เพิ่มภาระผู้ส่งออกไทย

สหรัฐฯ บังคับให้ผู้ส่งออกต้อง ระบุประเทศที่เหล็ก/อะลูมิเนียมถูกผลิตและแปรรูป (Steel Origin Declaration)

สำหรับผู้ส่งออกไทยที่มีสินค้าใช้โลหะ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักร แม่พิมพ์ หรือโครงสร้างอุตสาหกรรม จะต้องมีระบบติดตามข้อมูล (BOM / COO) อย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย
 

อุตสาหกรรมไทยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม

อุตสาหกรรม

ระดับ
ผลกระทบ

ผลที่เห็นได้ชัด

ยานยนต์และชิ้นส่วน

🔴 สูง

การชะลอการลงทุนในเครื่องจักรความเที่ยงตรง, ความไม่แน่นอนในซัพพลายเชนส่งออกไปสหรัฐ

แม่พิมพ์ / เครื่องมือโลหะ

🟠 ปานกลาง–สูง

ต้นทุนเครื่องจักรและอะไหล่เพิ่มขึ้น, ระยะเวลาซ่อมบำรุงนานขึ้น

อิเล็กทรอนิกส์ / เครื่องใช้ไฟฟ้า

🟡 ปานกลาง

เสี่ยงจากต้นทุนเครื่องจักรและชิ้นส่วนโลหะที่เกี่ยวข้อง

 

แนวโน้มที่ต้องจับตา (2025–2026)

  1. US เพิ่มรายการสินค้าภายใต้ Section 232 ทุก 4 เดือน → ความไม่แน่นอนสูงสำหรับผู้ผลิตที่ใช้เหล็ก/อะลูมิเนียม
  2. การย้ายฐานการผลิต: สหรัฐฯ อาจใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันให้บริษัทต่างชาติผลิตในอเมริกา → ไทยต้องเร่งเสริมข้อตกลงการค้าและแรงจูงใจลงทุน
  3. ตลาดเครื่องจักรเอเชียเติบโตแทนยุโรป: ผู้ผลิตญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวันอาจได้รับอานิสงส์จากการเบนคำสั่งซื้อออกจากยุโรป
  4. การใช้เทคโนโลยี Digital Manufacturing เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนและความเสี่ยงของภาษี เช่น การผลิตแบบ Additive Manufacturing, Retrofit และ Automation

ข้อเสนอสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย

  • ผู้ผลิต/ซัพพลายเออร์ไทย:
    • เริ่มจัดทำระบบติดตามวัตถุดิบและแหล่งที่มา (Material Traceability)
    • มองหาเครื่องจักรจากแหล่งที่ไม่ถูกภาษี เช่น ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน
    • เร่งใช้เทคโนโลยี Retrofit เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรเดิม
       
  • ภาครัฐและสมาคมอุตสาหกรรม:
    • ประสานความร่วมมือกับคู่ค้าสหรัฐฯ เพื่อขอยกเว้นหรือเลื่อนการบังคับใช้บางรายการ
    • ส่งเสริมการลงทุนเครื่องจักรผลิตในประเทศ / การประกอบเครื่องในไทย
    • เตรียมมาตรการดึงดูด FDI จากยุโรปที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมาภูมิภาค

สรุปแนวโน้ม

มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ครั้งนี้ไม่เพียงกระทบผู้ผลิตยุโรป แต่ยัง เร่งการเปลี่ยนทิศทางของห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก

สำหรับไทย นี่คือ “จุดเปลี่ยน” ที่ต้องบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุน และมองเห็น “โอกาส” ในการเป็นฐานการผลิตเครื่องจักรและชิ้นส่วนในเอเชีย

แหล่งอ้างอิง:

1. CECIMO
2. Federal Register 
3. U.S. Customs and Border Protection
4. Trading Economics
5. Reuters