การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Industrial Paradigm Shifts)

อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 2562
  • Share :

โลกธุรกิจในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันอย่างดุเดือดและรุนแรง คู่แข่งในตลาดต่างงัดกลยุทธ์ และเทคโนโลยีที่มีมาใช้สร้างความได้เปรียบ เพื่อเอาชนะคู่แข่งในทุกมิติของสนามประลองทางธุรกิจ

ในแวดวงอุตสาหกรรม ต่างก็มีการพัฒนารุดหน้า ไปในด้านต่างๆมากมาย ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร และ บุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรม ต่างก็ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และรับรู้ถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ขององค์กร ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกธุรกิจ

ในบทความนี้ จะขอหยิบยก กรอบความคิดในการบริหารอุตสาหกรรม ที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (Industrial Paradigm Shift) สี่ประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ Mass Customiztion, Speed (to market) with Accuracy, Connectivity & Digitization, และ Zero Incident is Attainable เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องในวงการอุตสาหกรรม ได้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น

1. Mass Customization

นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา จนถึงก่อนราวปี ค.ศ. 2000 แนวคิดในการบริหารอุตสาหกรรมล้วนพัฒนามุ่งสู่ระบบ Mass Production เพื่อตอบสนองระบบที่สามารถจะนำทรัพยากร วัตถุดิบ มาแปรรูปให้เป็นผลผลิตสินค้าสำเร็จรูปให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ดี ในยุคปัจจุบันที่ธุรกิจให้ความสำคัญต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Customer Oriented) และอีกทั้งความต้องการของลูกค้า ก็มีความซับซอนและหลากหลายมากขึ้น ระบบ Mass Production ในหลายกรณี จึงไม่อาจตอบโจทย์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป

ตั้งแต่หลังปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา จะเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าระบบอุตสาหกรรมในหลายแขนง เริ่มมุ่งสู่แนวคิดที่เรียกว่า Mass Customization ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติบางประการที่สำคัญในระบบการผลิตและโลจิสติกส์ กล่าวคือ

1) ความยืดหยุ่นในระบบ (Flexibility & Resilience) 
2) ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะราย (Ability to serve custom-made requirements)

ขอยกตัวอย่างของ Mass Customization ที่เห็นในธุรกิจปัจจุบัน เช่น บริษัทเฟอรนิเจอร์สำเร็จรูปชั้นนำ ที่เริ่มนำเสนอทางเลือกให้ลูกค้า สามารถสั่งเฟอรนิเจอร์แบบกึ่ง Built-in เขากับแบบบานที่ต้องการได้มากขึ้น

การปรับระบบซัพพลายเชน ทั้งด้านการผลิตและโลจิสติกส์จาก Mass Production ไปสู่ Mass Customization นี้ นับเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ และผู้บริหารในวงการอุตสาหกรรม

2. Speed (to market) with Accuracy

มีสำนวนที่เราคุ้นเคยมายาวนาน คือคำกล่าวที่ว่า “Slow but Sure - ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” ซึ่ง ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่ก้าวสู่ยุค 5G คำกล่าวที่ว่าอาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไปแล้ว ด้วยเทคโนโลยีทางการสื่อสาร ด้วยความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ความฉับไวต่อการตอบสนองลูกค้าถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ความฉับไวเพียงประการเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องมีความแมนยำถูกต้องเป็นองค์ประกอบด้วย

ตัวอย่าง ที่เป็นรูปธรรมสะท้อนเรื่อง Speed (to market) with Accuracy ได้แก่ 3D Printer ที่สามารถผลิตชิ้นงานตัวอย่างให้แก่ลูกค้า ได้อย่างรวดเร็วและได้สัดส่วนแม่นยำตามแบบที่ลูกค้าต้องการ

3. Connectivity & Digitization 

เรื่องนี้ฟังโดยผิวเผินอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะขอปูพื้นแนวคิดการจัดการบริหารองค์กรที่มีมาแต่เดิม ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม กล่าวคือ ในยุคแรกมีความพยายามที่จะจัด แยกแยะองค์ประกอบในธุรกิจให้เป็นส่วนๆ เช่น ซัพพลายเออร์ ลูกค้า คู่แข่ง และ ภาคส่วนธุรกิจอื่นๆ และภายในองค์กรเอง ก็แยกแยะเป็นแผนกต่างๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้จัดระบบระเบียบ และมุ่งเน้นพัฒนาเชิงลึกในแต่ละภาคส่วน เช่น ด้านการบริหารการผลิต ด้านการบริหารโลจิสติกส์ ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น

ต่อมาในทศวรรษ 1980 เริ่มมีการพัฒนาแนวคิดด้านการบูรณาการ (Integration) ที่จะมองภาพเชิงธุรกิจในองค์รวม เห็นความเชื่อมต่อ (Connectivity) ระหว่างองค์ประกอบในหน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงลูกค้าและซัพพลายเออร์ เช่น ระบบ Total Quality Management, Total Preventive Maintenance, ISO9000, ISO14001 เป็นต้น ส่วนในด้านการบริหารและวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจ ก็เริ่มมีการใช้ Enterprise Resource Planning (ERP) tools ต่างๆ เช่น SAP มาใช้ในองค์กร

มาสู่ยุคปัจจุบันที่โลกก้าวเข้าสู่ยุค 5G Digitization ต่างๆ รุดหนาไปอย่างรวดเร็ว Cloud Technology, Industrial Internet of Things (Iot), GPS, QR code ต่างๆ ล้วนถูกนำมาใช้ในการบริหารธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่กล่าวมานี้ ล้วนแล้วแต่สะท้อนแนวคิดเรื่อง Connectivity & Digitization ได้อย่างชัดเจน เพราะองค์ประกอบทางธุรกิจนั้น แท้ที่จริงแล้วล้วนเชื่อมโยงผูกพันถึงกันหมด

ตัวอย่างเรื่อง Connectivity & Digitization ที่นำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ระบบ MII (Manufacturing Integration and Intelligence) ที่เชื่อมโยงระบบข้อมูลการผลิตทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน (เชน Man, Material, Method, Machine) และสามารถ Interface เข้ากับระบบ DCS (Distributed Control System) ที่ใช้ควบคุมระบบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Zero Incident is Attainable

แนวคิดเรื่องของเสียเป็นศูนย์ มีมาตั้งแต่ยุคสี่สิบถึงห้าสิบปีที่แล้ว ในขณะที่ทฤษฎีการบริหารอุตสาหกรรมทางซีกโลกตะวันตก ในยุคนั้นมุ่งเน้นที่หลัก Optimization เช่นการวิเคราะห์ Safety Stock แต่ทางค่ายอุตสาหกรรมญี่ปุนกลับคิดไปถึงขั้น Minimization เช่น Zero stock, JIT เป็นต้น ในโลกอุตสาหกรรมยุคปัจจุบัน ทั้งซีกโลกตะวันตกและเอเชียต่างมุ่งไปในแนวทางคล้ายกัน คือผสมผสานทั้ง Minimization และ Optimization อีกทั้งแนวคิดเรื่องการขจัดการสูญเสียได้ขยายขอบเขตจาก Operational Loss เป็นการขจัดและป้องกัน Entire Business & Operational Loss ซึ่งคลอบคลุมถึงเรื่อง Safety ด้วย

ขอยกตัวอย่างในธุรกิจพลังงาน (อุตสาหกรรมปิโตรเลียม) เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วได้มีการนำระบบ Loss Prevention System ซึ่งมุ่งเน้นที่การบริหาร Personnel Safety และ Process Safety เพื่อลดการสูญเสีย ต่อมาในปัจจุบันได้วิวัฒนาการมาถึงแนวคิดแบบ Human Performance ที่มีแนวคิดว่ามนุษย์สามารถผิดพลาดได้ และเป็นหน้าที่ขององค์กรที่จะต้องพัฒนาเกราะป้องกัน (Safeguards) ในกระบวนการทางธุรกิจและการผลิต เพื่อที่ว่าเมื่อเกิดความผิดพลาด บุคลากรและธุรกิจจะได้รับการปกปองให้ปลอดภัย และตัวระบบจะต้องยืดหยุ่น (Resilience) มากพอที่จะกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

อนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจว่า กรอบความคิดในการบริหารอุตสาหกรรม ที่หยิบยกมาบรรยายทั้งสี่ประการข้างต้น ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยง และมีส่วนสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในปัจจุบันมีบริษัทด้านอุตสาหกรรมหลายแห่งที่ได้นำกรอบความคิดเหล่านี้ ไปประยุกต์ใช้ทางปฏิบัติเพื่อเพิ่มผลผลิต และยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้อยางเป็นรูปธรรม


สนับสนุนบทความโดย: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ www.ftpi.or.th