“อี-พาวเวอร์” หลุดโผรถอีวี นิสสันพ่าย BOI/ปรับทัพลุยไฮบริดเต็มสูบ
นิสสัน ยอมจับโน้ต อี-พาวเวอร์ เข้าหมวด ไฮบริด หลังออกแรงผลักดันให้บีโอไอบรรจุอยู่ในกลุ่มรถไฟฟ้า เร่งมือคลอดหวังตุนยอดขายโค้งสุดท้ายก่อนปิดงบฯตามเป้า 6.2 หมื่นคัน กวาดแชร์ 7%
แหล่งข่าวสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงความคืบหน้าความพยายามของค่ายนิสสันที่นำเสนอเทคโนโลยีอีพาวเวอร์ ให้ทางบีโอไอจัดเงื่อนไขการลงทุนเข้าหมวดรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีว่า ขณะนี้ได้ข้อสรุปเรียบร้อย เทคโนโลยีอีพาวเวอร์ถูกจัดวางให้อยู่ในหมวดรถยนต์ไฮบริดเท่านั้น
“เรื่องนี้มีการหารือกันหลายรอบ แม้นิสสันจะพยายามบอกว่าเทคโนโลยีนี้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดมานั้นแค่ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าเพื่อเก็บประจุเข้าแบตเตอรี่ก็ตาม แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่ได้คล้อยตาม และนิสสันก็ยอมรับเงื่อนไข โดยนิสสันได้ยื่นขอส่งเสริมในหมวดรถยนต์ไฮบริดตามกรอบเวลาภายในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมาเรียบร้อย”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นิสสันตัดสินใจยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ไฮบริด ด้วยมูลค่า 10,960 ล้านบาท โดยจะใช้โรงงานนิสสัน กม.21 บางนา-ตราด มีกำลังผลิต 80,000 คันต่อปี
เกี่ยวกับประเด็นนี้แหล่งข่าวจากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เทคโนโลยีอีพาวเวอร์นั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์ไฮบริด ส่วนรายละเอียดของโครงการปลีกย่อยต่าง ๆ นั้น คาดว่าภาครัฐน่าจะมีการเรียกผู้ประกอบการเข้าไปเจรจาเพื่อพูดคุยในรายละเอียดอื่น ๆ ต่อไป
“ตอนนี้เชื่อว่าทุกค่ายต่าง ๆ ยื่นขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุนกันไว้ก่อน ส่วนรายละเอียดต้องไปทำความเข้าใจกันอีกครั้ง เพราะเทคโนโลยีไฮบริดเองมีค่อนข้างหลากหลาย และแต่ละค่ายเองก็มีเทคโนโลยีความพร้อมที่แตกต่างกันออกไป นิสสันก็จับจองพื้นที่ตรงนี้ไว้ก่อนเช่นเดียวกับค่ายอื่น ๆ”
แหล่งข่าวยังกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้นิสสันอยู่ระหว่างการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่า ภายในปีงบประมาณ 2560 (เม.ย. 2560-มี.ค. 2561) ซึ่งกำหนดให้มีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์โดยรวม 7% หรือมียอดขายขึ้นระดับ 62,000 คัน ในปีงบประมาณ 2560 ดังนั้นเทคโนโลยีอีพาวเวอร์ซึ่งน่าจะติดตั้งในนิสสันโน้ตได้ก่อนรุ่นอื่น ๆ น่าจะมีส่วนช่วยผลักดันได้มาก
โดยปัจจุบันนิสสันมียอดขาย 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 45,354 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ คือ 6.9% ดังนั้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีงบฯ นิสสันต้องทำยอดขายให้ได้ 16,600 กว่าคัน เพื่อไปสู่เป้าหมาย 62,000 คันจากยอดขายรถยนต์รวมที่ 885,000 คัน
นอกจากเป้าหมายด้านยอดขายที่บริษัทจะต้องเร่งดำเนินการแล้ว ในส่วนของความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายการจำหน่าย บริษัทมีความจำเป็นต้องเร่งพัฒนาเครือข่ายให้มีความแข็งแกร่งทั่วประเทศเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่บริษัทแม่กำหนด หลังจากช่วงที่ผ่านมานโยบายด้านเครือข่ายการจำหน่ายอาจได้รับผลกระทบกระเทือนไปบ้าง แต่วันนี้จะเห็นว่าโชว์รูมและศูนย์บริการนิสสันบางแห่งได้เดินหน้าลงทุนเพื่อปรับปรุงให้เกิดความสด ใหม่ ทันสมัยยิ่งขึ้น และน่าจะเป็นการก้าวไปสู่โอกาสที่ดีในอนาคต